เนื่องในวันที่ 28 กรกฏาคมของทุกปีเป็นวันตับอักเสบโลก เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงภัยใกล้ตัวของไวรัสตับอักเสบ ที่นอกจากจะทำให้เกิดตับอักเสบแล้วบางชนิดยังนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับได้ จึงขอเชิญชวนมาทำความรู้จักกับไวรัสตับอักเสบประเภทต่าง ๆ กัน
ไวรัสตับอักเสบที่มีความสำคัญทางคลีนิกในปัจจุบันได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และ อี แต่ในวันนี้จะกล่าวถึงชนิดที่พบได้บ่อยในไทย คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี
ไวรัสตับอักเสบเอ
การติดต่อ
ติดต่อจากคนสู่คนผ่านทาง fecal-oral route คือรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อไวรัสเข้าไป เช่น ผักสด น้ำแข็ง อาหารทะเลจำพวกมีเปลือกเช่น กุ้ง ปู หอยที่ปรุงไม่สุก เมื่อเชื้อเข้าสู่ปาก ไปสู่ลำไส้ และเข้าผ่านหลอดเลือดเลือดไปยังตับ จากตับไปสู่น้ำดี และถูกปล่อยกลับออกมาในลำไส้และขับออกมากับอุจจาระในที่สุด
อาการแสดง
- เชื้อมีระยะฟักตัว 2-4 สัปดาห์
- ในเด็กต่ำกว่า 6 ปีมักไม่มีอาการ
- มากกว่า 70% ในเด็กอายุมากกว่า 6 ปีและในผู้ใหญ่ มาด้วยไข้ ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย จุกแน่นชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียนนำมาก่อนหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้น จะมีตาเหลืองตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม ผู้ป่วยอาจตรวจพบมีตับอักเสบได้นาน 2-8 สัปดาห์ จากนั้นจะหายได้เอง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
- ประมาณ 5% ของผู้ป่วยอาจมีดีซ่านยาวนานมากกว่า 10 สัปดาห์ จากการคั่งของน้ำดีในตับ โดยผู้ป่วยจะมีอาการคันตามตัว และน้ำหนักลดร่วมด้วย
- มีเพียง < 0.5% เท่านั้นที่ผู้ป่วยอาจมีตับอักเสบรุนแรงจนถึงตับวายเฉียบพลัน ทำให้เสียชีวิตได้ มักเป็นผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบหรือตับแข็งอยู่เดิม
- 3-20% ของผู้ป่วย มีอาการกลับเป็นซ้ำหลังจากอาการดีขึ้นแล้วในครั้งแรก โดยมักเกิดหลังครั้งแรก 6-10 สัปดาห์ และหายขาดใน 24 สัปดาห์
- เมื่อผู้ป่วยหายแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต และไม่ก่อให้เกิดเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
การวินิจฉัย
ทำได้โดยการตรวจเลือด
การรักษา
ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและหายเองได้ การรักษามักเป็นการประคับประคองเช่น ให้ยาแก้อาเจียน ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ
การป้องกัน ทำได้โดย
- รับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดถูกสุขลักษณะ
- อาหารประเภทหอยปรุงให้สุกด้วยความร้อน 85-90 องศาเซลเซียศนานมากกว่า 4 นาที
- ล้างมือหลังจากการใช้ห้องน้ำ ล้างมือก่อนกินอาหาร
- ในสถานรับเลี้ยงเด็กมีการกำจัดอุจจาระให้ถูกหลักสุขาภิบาล
- ฉีดวัคซีนป้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็งอยู่เดิม รวมถึงผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือจะเดินทางไปประเทศเสี่ยง
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ในปัจจุบันมี 2 ชนิดคือ
- Formalin-inactivated hepatitis A vaccine ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อรวม 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน
- Live attenuated hepatitis A vaccine ใช้ฉีดครั้งเดียวใต้ผิวหน้ง
บุคคลที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังอยู่เดิม
- ผู้ประกอบอาชีพปรุงอาหาร
- บุคคลากรที่ทำงานในศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล
- ชายรักร่วมเพศ
- ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือนักท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอสูง
ไวรัสตับอักเสบบี
เป็นไวรัสที่เป็นปัญหาสำคัญอย่างมากในโลก เนื่องจากเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตับแข็งและมะเร็งตับได้
การติดต่อ
- ส่วนใหญ่แล้วเกิดการติดเชื้อในทารกขณะคลอดจากการสัมผัสเลือดแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ติดเชื้อจากการได้รับบริจาคเลือด ฟอกไต ปลูกถ่ายอวัยวะ
- ติดผ่านผิวหนังที่เป็นแผลเมื่อสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่นติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยา เข็มสำหรับการสักเจาะร่างกาย ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ
- สัมผัสเลือดผ่านการใช้ของใช้มีคมร่วมกันเช่น แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
- ไม่ติดต่อทางการให้นมบุตร
- ไม่ติดต่อทางอาหารและน้ำ
การดำเนินของโรค อาการและอาการแสดง
ขึ้นอยู่กับอายุที่ได้รับเชื้อ
- หากมาด้วยการติดเชื้อเฉียบพลัน ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยอาจมาด้วยไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง จุกท้องชายโครงขวา แต่ร่างกายมักกำจัดเชื้อให้หมดไปจนหายขาดได้เองภายในหกเดือน มีเพียง 5-10% ของผู้ได้รับเชื้อเท่านั้นที่กลายเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
- หากติดเชื้อในทารกแรกคลอดจนถึงเด็กอายุต่ำกว่าห้าปี ผู้ป่วยมีโอกาสกลายเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ได้สูงถึง 90% โดยในวัยแรกคลอดถึง 20 ปีมักยังไม่มีอาการ ช่วงอายุ 20-40 ปี บางรายไม่มีอาการ บางรายมาด้วยอาการตับอักเสบรุนแรง (flare) ในเวลาไม่กี่เดือนแล้วเข้าสู่ระยะโรคสงบ บางรายเกิดการอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ หรืออักเสบต่อเนื่องเป็นปี ทำให้เกิดผังผืดในตับ เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนอาจมาด้วยอาการแสดงจากภาวะตับแข็ง เช่น ท้องมานน้ำ ขาบวม ดีซ่าน อาเจียนเป็นเลือด และมะเร็งตับ
การรักษา
- ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อทุกรายที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส
- ในไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องได้ยาต้านไวรัส เพราะมากกว่า 50% ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดได้เอง แต่ควรได้รับการตรวจติดตามประเมินความรุนแรงเป็นระยะ และรักษาแบบประคับประคองเรื่องคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรได้รับสารอาหารสารน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ
- สำหรับไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังนั้น ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการติดตามโดยแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังภาวะตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับ แต่การรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัส จะให้ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษา เช่นอายุมากกว่า 30 ปี มีปริมาณเชื้อไวรัสตามเกณฑ์ที่กำหนด มีตับอักเสบ มีผังผืดในตับ ตับแข็ง หรือมีโรคร่วม
- เป้าหมายของการรักษาคือกดเชื้อให้ได้นานที่สุด เพื่อลดภาวะตับแข็ง และลดการเกิดมะเร็งตับ
การป้องกัน
ฉีดวัคซีนป้องกัน
- เด็กแรกคลอดทุกรายควรได้รับวัคซีนทันทีหลังคลอด
- กลุ่มเสี่ยงเช่นชายรักร่วมเพศ multiple partners
- ผู้ป่วย HIV ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี
- ผู้ป่วยฟอกไต
- บุคคลากรทางการแพทย์
ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย
ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังในปริมาณสูงนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมินการให้ยาต้านไวรัสในสัปดาห์ที่ 24-28 ไปจนถึงอย่างน้อยสามเดือนหลังคลอดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกขณะคลอด
ไวรัสตับอักเสบซี
การติดต่อ
ติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบบี โดยมีกลุ่มเสี่ยง เช่น
- ผู้ใช้ยาเสพติดโดยใช้เข็มร่วมกัน
- ผู้ได้รับการสัก เจาะผิวหนังโดยใช้เข็มร่วมกัน
- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
- ผู้ที่ได้รับบริจาคเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ. 2535 ซึ่งยังไม่มีระบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบซีที่เพียงพอ
- ผู้ป่วยฟอกไตเป็นประจำ
- ผู้มีมารดาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
- ผู้ป่วยเอชไอวี ผู้ป่วยโรคตับ
อาการแสดง
ในการติดเชื้อเฉียบพลัน บางรายมาด้วยอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ตรวจเลือดพบตับอักเสบ แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ทำให้ตรวจพบเมื่อเข้าสู่ระยะเรื้อรัง (ติดเชื้อมากกว่าหกเดือน) ไปแล้ว ซึ่งภายใน 20-30 ปีต่อมาหลังการติดเชื้อมักจะมาด้วยตับแข็ง และมะเร็งตับได้ โดยผู้ป่วยตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบซี มีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ถึง 2-5% ต่อปี
การรักษา
ไวรัสตับเสบซีเฉียบพลัน
มักจะยังไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสในทันที เนื่องจากผู้ป่วยประมาณ 20-50% มีโอกาสหายขาดเองได้ แพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยมาตรวจเลือด HCV RNA ซ้ำที่ 12-16 สัปดาห์ถัดมา ถ้าไม่พบ HCV RNA แล้วแสดงว่าร่างกายผู้ป่วยสามารถกำจัดเชื้อจนหายขาดเองได้ แต่หากยังพบเชื้อ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานเป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ก็จะมีโอกาสหายขาดได้เช่นกัน
ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังนั้น ควรได้รับการรักษาทุกราย โดยมุ่งหวังการรักษาให้หายขาด ยกเว้นผู้ป่วยที่มีโรคร่วมรุนแรงจนไม่สามารถรับยาได้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจประเมินเบื้องต้นหลายอย่างก่อนเริ่มการรักษา เช่นตรวจค่าการทำงานของตับ ตรวจหาภาวะตับแข็งและผังผืดของตับ ตรวจหาโรคร่วม ตรวจปริมาณเชื้อและสายพันธ์ก่อนวางแผนการรักษา เพื่อเลือกสูตรยาให้เหมาะสมโดยมีระยะเวลาการรักษา 12-24 สัปดาห์
ไวรัสตับอักเสบซี ต่างจากไวรัสตับอักเสบบีที่เมื่อรักษาหายแล้ว ร่างกายไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ ดังนั้นหากไม่ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงก็จะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีซ้ำได้อีก
โดยสรุป จะเห็นว่า ไวรัสตับอักเสบเรื้อรังบีและซีเป็นภัยเงียบที่มีช่วงที่ไม่แสดงอาการขณะติดเชื้อ แต่มีอาการให้เห็นเมื่อมีตับอักเสบ ตับแข็งหรือมะเร็งตับไปแล้ว จึงแนะนำให้มีการตรวจเลือดคัดกรองหาไวรัสแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะในประชาชนกลุ่มเสี่ยงดังที่กล่าวไปแล้ว เพื่อจะได้เข้ารับการรักษาเมื่อพบว่ามีการติดเชื้อ และแนะนำให้ติดตามกับแพทย์อย่างต่อเนื่องในการคัดกรองหามะเร็งตับ อีกทั้งยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงในเป็นโรคด้วย