การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่เดิม ในปัจจุบันยังไม่มียารับประทานหรือยาหยอดตาที่ใช้ป้องกันและรักษาต้อกระจกให้หายได้
1. การผ่าแผลเล็กหรือการสลายต้อกระจก (Phacoemulsification) วิธีนี้ จักษุแพทย์จะใช้เครื่องอัลตร้าซาวน์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงมาทำให้เนื้อเลนส์แก้วตาสลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ และดูดออกมาได้ เครื่องมือที่ใช้สอดผ่านแผลผ่าตัดเข้าไปในลูกตานั้นมีขนาดเล็ก จึงทำให้มีแผลผ่าตัดเพียง 3 มิลลิเมตร ผู้ป่วยจึงหายเร็วขึ้น ทำให้สายตาชัดเร็วขึ้น ระยะพักฟื้นสั้นลงและกลับไปทำงานได้เร็วขึ้น
2. การผ่าแผลใหญ่หรือการผ่าต้อกระจก (Extracapsular Cataract Extraction หรือ ECCE ) การผ่าตัดวิธีนี้มีการเปิดแผลใหญ่กว่า 10 มิลลิเมตร เพื่อคีบเอาเลนส์ออกมาทั้งชิ้น ทำให้ดวงตามีการกระทบกระเทือนมากกว่า ต้องพักฟื้นนานกว่า ทั้งสองวิธีสามารถใช้เลนส์เทียมเข้าทดแทนเลนส์เดิมที่ผ่าออกมาได้
เมื่อปล่อยให้ต้อกระจกสุกเต็มที่ (Mature Cataract) จะทำให้เลนส์ตาแข็งตัวมากจนกระทั่งไม่สามารถใช้เทคนิคการผ่าแผลเล็ก หรือการสลายต้อกระจกได้ ถ้าจะผ่าต้องทำการผ่าแบบแผลใหญ่แทน
ถ้าต้อกระจกสุกเต็มที่จนกระทั่งถุงหุ้มเลนส์แตก อาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงของดวงตาได้ ถ้ารักษาไม่ทัน อาจทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
เลนส์แก้วตาเทียมเป็นวัสดุที่สามารถใช้งานได้เป็นการถาวร ไม่มีการหมดอายุหรือต้องคอยเปลี่ยนใหม่เมื่อเวลาผ่านไป
เลนส์แก้วตาเทียมชนิดต่าง ๆ
ในประเทศไทยคาดการว่าคนไทยเป็นโรคต้อหินประมาณ 1.7 – 2.4 ล้านคน โรคต้อหินเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดชนิดถาวร (irreversible blindness) ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 1 มักพบมากในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปแต่อาจพบได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยมีแนวโน้มพบเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ยิ่งอายุมากยิ่งพบมาก
โรคต้อหิน เป็นกลุ่มโรคที่เกิดความผิดปกติที่ขั้วประสาทตา (optic nerve) ที่มีแบบเฉพาะตัว โดยจำนวนเซลล์ประสาทตา (ganglion cell and retinal nerve fiber) ค่อยๆ ลดจำนวนลงและไม่สามารถสร้างทดแทนขึ้นใหม่ได้ ทำให้สูญเสียการมองเห็น มักมีภาวะความดันลูกตาสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ แต่ความดันตาอาจจะสูงหรือเป็นปกติก็ได้ โรคนี้จะมีการทำลายขั้วประสาทตาและเส้นประสาทตาอย่างค่อยเป็นค่อยไป การทำลายดังกล่าวมีผลทำให้ลานสายตาหรือความกว้างของการมองเห็นแคบลง ตามัวลง หากไม่ทำการรักษา หรือตรวจพบแล้ว แต่ทำการรักษาไม่ต่อเนื่อง ควบคุมโรคไม่ดี จะสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด
ความดันลูกตา (intraocular pressure) ที่ผิดปกติเกิดจากการเสียสมดุลของการระบายน้ำหล่อเลี้ยงภายในตา (aqueous humor) ซึ่งเป็นของเหลวใสภายในช่องด้านหน้าของลูกตา ในคนไทยค่าเฉลี่ยความดันลูกตาอยู่ที่ประมาณ 13-14 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้นหากมีค่าความดันตา 2 มิลลิเมตรปรอท หรือสูงกว่าก็ถือว่าผิดปกติ
ต้อหินมุมเปิด (open angle glaucoma) ต้อหินมุมปิด (angle closure หรือ closed-angle glaucoma) และต้อหินที่พบในเด็ก (congenital หรือ developmental glaucoma) หรืออาจแบ่งตามสาเหตุ ต้อหินชนิดเป็นเองที่เรียกว่าต้อหินปฐมภูมิ (primary glaucoma) หรือต้อหินที่เกิดจากโรคอื่นที่เรียกว่าต้อหินทุติยภูมิ (secondary glaucoma) แต่ถ้าจะแบ่งตามอาการแสดงที่มาพบแพทย์ ก็อาจจะแบ่งเป็นต้อหินชนิดเรื้อรังและต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ต้อหินปฐมภูมิ ได้แก่ ต้อหินชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma, POAG) เป็นต้อหินที่พบได้บ่อยกว่าต้อหินประเภทอื่น สำหรับคนไทยพบต้อหินชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) ในสถิติที่สูงมากกว่าชาวผิวขาวหรือพวกฝรั่ง ส่วนใหญ่เป็นชนิดโรคต้อหินแบบเรื้อรังซึ่งไม่มีอาการ ส่วนน้อยจะเป็นต้อหินเฉียบพลันที่อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดตา อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย และพบในผู้หญิงเอเชีย วัยกลางคนหรืออายุมากอายุมาก ส่วนต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) มักพบในเด็กแรกคลอด-3 ปี เกิดจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่นๆ
ผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่ไม่มีอาการในระยะแรก โดยเฉพาะต้อหินชนิดเรื้อรังที่พบบ่อยมักจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ปวดตา การสูญเสียของประสาทตาเกิดขึ้น อย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง เพราะเป็นการสูญเสียลานสายตาที่จะเกิดที่บริเวณรอบนอกก่อนและจุดบอดเกิดขึ้นในตาข้างหนึ่งจะถูกชดเชยด้วยจุดที่มองเห็นของตาอีกข้างหนึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัว เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการเดินชนขอบประตู ชนเสา ไม่มั่นใจขณะเดินขึ้นลงบันได เพราะมองไม่เห็นด้านข้าง จนกระทั่งมีการสูญเสียลานสายตาในส่วนตรงกลางซึ่งกระทบต่อการอ่านหนังสือ ทีวีและมือถือ จนผู้ป่วยสังเกตความผิดปกติได้ ในที่สุดคือสูญเสียทั้งหมดของลานสายตาหรือภาวะตาบอดนั่นเอง การมีอาการร่วมอย่างอื่นเช่นตาแดงหรือปวดตาพบได้ไม่บ่อยในต้อหินประเภทเรื้อรัง นับเป็นภัยเงียบหรือภัยมืดที่คุกคามอย่างไม่รู้ตัว
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นต้อหินชนิดเฉียบพลัน จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1 – 2 วัน มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะรุนแรง ตาแดง ตามัว อาจมองเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ อาจมีคลื่นไส้อาเจียน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วจะทำให้เชลล์ประสาทตาเสีย และสูญเสียการมองเห็น โดยไม่สามารถรักษาให้กลับมาดีเหมือนเดิม บางครั้งมีการตายของกล้ามเนื้อม่านตาทำให้ไม่สามารถควบคุมแสงได้
รศ.นพ.ปริญญ์ โรจนพงศ์พันธุ์ กล่าวว่า “การตรวจวินิจฉัยเพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหินมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหิน เพราะโรคนี้ไม่มีสัญญาณเตือน ปัจจุบันพบโรคต้อหินในคนที่มีอายุน้อยลงอาจบ่งบอกถึงปัจจัยเสียงที่เปลี่ยนไปของวิธีดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตา แต่ถ้าหากเป็นคนทั่วไปแนะนำให้ตรวจช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งการตรวจต้อหินในปัจจุบันสามารถทราบผลได้ทันที”
แพทย์หญิงณัฐธิดา ชาติบัญชาชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การป้องกันทางที่ดีที่สุด คือการตรวจสุขภาพตาประจำปี เมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไปหรือถ้ามีความเสี่ยง กรรมพันธุ์ในครอบครัวเป็นต้อหิน, สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติมาก , เคยมีอุบัติเหตุ / ผ่าตัดทางตา ใช้ยาสเตอรอยด์เป็นเวลานาน, มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดัน ไขมัน ที่มีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทตาก็ควรมีตรวจด้วย เพราะวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือมาตรวจและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ เนื่องจากการรักษาตั้งแต่ยังเป็นไม่มากได้ จะให้ผลดีกว่าเพราะถ้าเส้นประสาทตาเสียหายจากต้อหินแล้วจะไม่สามารถรักษาให้กลับมาได้ รักษาอย่างทันท่วงที เพื่อให้อาการของโรคไม่รุนแรงจนถึงขั้นตาบอดและคงการมองเห็นให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ป่วยควรมาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง ไม่ขาดยาที่ได้รับ เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการรุนแรงจากโรคต้อหิน”
จอประสาทตาหรือ Retina เป็นส่วนประกอบดวงตาที่อยู่บริเวณหลังผนังด้านในสุด มีลักษณะเป็นชั้นบางๆ ประกอบไปด้วยเซลล์รับภาพจำนวนมาก ในภาวะที่จอประสาทตาปกติ เมื่อเราใช้สายตาเพื่อมอง แสงที่กระทบและหักเหผ่านเลนส์ตาจะมาตกกระทบจุดศูนย์กลางของจอประสาทตาพอดี ทำให้ภาพที่มองเห็นมีความคมชัด เราจึงสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอิสระ แต่เมื่อไรก็ตามที่เกิดปัญหาขึ้นกับจอประสาทตา การมองเห็นภาพก็ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีโรคของจอประสาทตาที่เกิดจากโรคเลือดบางอย่างทั้งเลือดข้นมากและเลือดจาง โรคในกลุ่มภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) โรคติดเชื้อ รวมถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับดวงตาหรือปัญหาจากการผ่าตัดดวงตา
โดยส่วนมากผู้ที่มาพบแพทย์มักมาด้วยอาการตามัว เห็นเงาหรือจุดดำลอยไปมา หรือเห็นแสงแวบคล้ายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นอาการเตือนว่าจอประสาทตาอาจมีปัญหา แต่ความจริงคือความเสียหายของจอประสาทตาอาจเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ โดยไม่มีอาการใดๆ เลย ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดคืออย่างน้อยควรได้รับการตรวจตาด้วยจักษุแพทย์อย่างน้อยสักครั้ง โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้แก่ ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคจอตา ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีสายตาสั้นมากคือสั้น 600 ขึ้นไปรวมถึงผู้ที่เคยทำ LASIK มาก่อน ควรได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการ
แพทย์จะตรวจการมองเห็นโดยทั่วไป ร่วมกับการหยอดยาขยายม่านตาเพื่อให้สามารถตรวจดูจอประสาทตาได้โดยละเอียด บางกรณีแพทย์อาจตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายรูปจอประสาทตา สแกนดูความหนาของชั้นจอประสาทตาด้วยเครื่องมือพิเศษ ฉีดสีเพื่อดูลักษณะของหลอดเลือดในกรณีที่จำเป็น เมื่อเข้ารับการตรวจตา ไม่ควรมาตรวจเพียงลำพัง เนื่องจากการหยอดยาขยายม่านตาจะทำให้ตาพร่ามัวประมาณ 2-4 ชั่วโมง ซึ่งอาจลำบากในการเดินทางกลับได้
โรคของจอประสาทตาบางโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การควบคุมโรคเบาหวาน งดสูบบุหรี่ โดยทั่วไปแล้ว แพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันดวงตาจากแสงแดดและจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคจอประสาทตาที่ดีที่สุดคือ “ต้องอย่าใจเย็น” ยิ่งพบความผิดปกติเร็วเท่าใด การดูแลรักษาก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจประเมินจอประสาทตาจากจักษุแพทย์เป็นระยะๆ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการก่อนเพื่อดูว่ามีความผิดปกติของดวงตาและจอประสาทตาหรือไม่
การรักษาโรคมีหลายวิธีขึ้นอยู่ปัญหาของจอประสาทตาที่พบ ได้แก่ การฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตา การจี้จอตาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด ผู้ป่วยจำเป็นต้องควบคุมโรคต่างๆ ทางกาย โดยเฉพาะโรคเบาหวานไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ โรคจอประสาทตาเป็นโรคที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยจึงควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
เมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากรคนไทยพบว่า มีผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ประมาณ 10-15% โดยมีแนวโนัมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มเกิดโรคในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารฟาสต์ฟูดส์ อาหารที่มีแคลอรีสูง มีน้ำตาลสูง คาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้สมดุลของการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานกับส่วนที่เหลือค้างในกระแสเลือดผิดไปจากที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น นอกจากนี้พันธุกรรมยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ คือเมื่อพ่อแม่ป่วยเป็นเบาหวาน ลูก ๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคเบาหวานมากขึ้น เมื่อภาพรวมแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคเบาหวานในประชากรสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้อุบัติการณ์ของโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาสูงขึ้นตามไปด้วย การรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสม ต้องอาศัยความร่วมออกกำลังกายให้เหมาะสม ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างอายุรแพทย์ผู้รักษาโรคเบาหวานและจักษุแพทย์ประสานงานกัน เพื่อให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานทุกรายได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาได้ในระยะเริ่มแรก และให้การรักษาอย่างทันท่วงที
การตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาด้วยวิธีมาตรฐาน คือ การตรวจจอประสาทตาด้วยวิธีขยายม่านตา ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป โดยพยาบาลจะหยอดยาขยายม่านตาให้แก่ผู้ป่วยทุก 5 นาที แล้วรอเวลาให้ม่านตาของผู้ป่วยค่อย ๆ ขยายออกจนเต็มที่ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อจักษุแพทย์ส่องกล้องตรวจจอประสาทตาเสร็จแล้วม่านตาจะยังคงอยู่ในท่าขยายต่อไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตามัวจากฤทธิ์ของยาขยายม่านตาต่อไปหลังการตรวจราว 4-6 ชั่วโมง นอกจากนี้ยาขยายม่านตาอาจส่งผลกระทบต่อโรคประจำตัวของผู้ป่วยเช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงได้ อย่างไรก็ตามวิธีการตรวจดังกล่าวยังคงให้ผลการตรวจที่ละเอียดที่สุดและยังคงเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
โรงพยาบาลสุขุมวิท มีเครื่องมือที่ช่วยให้การตรวจจอประสาทตาและรักษาเบาหวานเข้าจอประสาทตามีความสะดวกปลอดภัยและมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ดังนี้
โดยทั่วไปถ้าควบคุมเบาหวานได้ดี ระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar) สูงไม่เกิน 140 mg/dl ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี ส่วนมากผู้ป่วยจะยังปลอดภัยจากเบาหวานเข้าจอประสาทตา ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมักควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีและเป็นเบาหวานมานานเกินกว่า 5 ปี สามารถแบ่งโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาได้เป็น 2 ระยะคือ ระยะเริ่มแรก (Non-proliferative diabetic retinopathy, NPDR) และระยะลุกลาม (Proliferative diabetic retinopathy, PDR) ระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะพบจุดเลือดออก และมีโปรตีนรั่วบนเนื้อจอประสาทตา อาจพบศูนย์กลางจอประสาทตาบวมร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการตามัวในระยะนี้ ระยะลุกลามจะมีลักษณะพบเส้นเลือดฝอยผิดปกติงอกใหม่ปรากฏบนเนื้อจอประสาทตา อาจมีเลือดออกในช่องวุ้นตา จอประสาทตาลอกจากพังผืดดึงรั้งบนจอประสาทตา อาจพบศูนย์กลางจอประสาทตาและขั้วประสาทตาบวมร่วมด้วยก็ได้ ระยะนี้เป็นระยะที่สำคัญมาก หากรักษาไม่ทันท่วงทีจะส่งผลให้ตาบอดได้
ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายจำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองว่ามีเบาหวานเข้าจอประสากตาหรือไม่โดยเร็วที่สุด เนื่องจากในขณะที่อายุรแพทย์วินิจฉัยโรคเบาหวานในครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยเพิ่งเริ่มป่วยเป็นเบาหวาน พบว่าผู้ป่วยหลายรายได้รับการตรวจพบเบาหวานเข้าจอประสาทตาในระยะลุกลามแล้วในขณะที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานในครั้งแรก ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโรค ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายต้องได้รับการตรวจคัดกรองเบาหวานเข้าจอประสาทตาโดย
โดยจักษุแพทย์สาขาจอประสาทตาจะเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย
การรักษาทุกวิธีข้างต้นรวมถึงการผ่าตัดรักษาจอประสาทตา กว่า 90% เป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ภายใต้ยาชาเฉพาะที่ ระยะเวลาในการทำผ่าตัดรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความยากง่ายของโรค โดยทั่วไปใช้เวลาในการผ่าตัดประมา 1 ชั่วโมง ซึ่งการรักษาแบบผู้ป่วยนอกและไม่ต้องดมยาสลบนี้ส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายๆโรค ช่วยให้มีความปลอดภัยสูงขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษา
โรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาเป็นภัยเงียบที่มากับโรคเบาหวาน ในระยะเริ่มแรกอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย อย่าได้นิ่งนอนใจว่าน่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ การเพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นเบาหวานอาจไม่ได้หมายความว่าท่านเพิ่งป่วยเป็นเบาหวานเสมอไป ท่านอาจป่วยเป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้วโดยไม่แสดงอาการก็ได้ ซึ่งหมายความว่าเบาหวานอาจเข้าสู่จอประสาทตาของท่านเรียบร้อยแล้ว
p style="text-indent: 5%;">เมื่อใดที่ทราบว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องได้รับการตรวจจอประสาทตาโดยเร็วที่สุด ท่านจะมีความเสี่ยงสูงในกรณีที่ท่านมีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน, มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน (Body mass index สูงกว่า 25), อยู่ในภาวะตั้งครรภ์และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินค่าปกติ การมีความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในเลือดสูงจะเป็นปัจจัยให้การดำเนินโรคแย่ลงเร็วขึ้น การตรวจคัดกรองและพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกจะช่วยให้ท่านสามารถรักษาการมองเห็นและดวงตาของท่านเอาไว้ได้ จึงควรขอรับคำปรึกษาและรับการตรวจจอประสากตาจากจักษุแพทย์ที่ท่านไว้วางใจเพื่อดวงตาที่ท่านรักจะยังคงการมองเห็นที่ชัดเจนตลอดไป
|
|