เทคโนโลยีรักษาอาการปวดหลังด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็กน้อยกว่า 1 ซม.

หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท

ในกลุ่มหนุ่มสาวหลายคนมักมีอาการปวดหลัง บางคนคิดว่าอาจเกิดจากสาเหตุนั่งมากเกินไปหรือไปทำอะไรผิดท่ามา ซึ่งคนจำนวนมากที่มีอาการปวดหลังมักเข้าใจว่าอาการปวดหลังเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกระดูก ในความเป็นจริงแล้วก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่บางคน อาการปวดหลังก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกระดูกเสมอไป โดยทั่วไปอาการปวดหลังอาจเกิดขึ้นจากการยกของหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป ซึ่งอาการที่รู้สึกได้คือ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึง แต่หากมีอาการที่รู้สึกว่าหลังขยับไม่ได้หรือปวดร้าวไปจนถึงขาข้างใดข้างหนึ่ง นั่นอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท

เมื่อเกิดอาการปวดหลังเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักเพิกเฉยหรืออาจจะหายาแก้ปวดมารับประทานเองเพราะคิดว่าไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งอาการปวดหลังก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความผิดปกติทั่วไปเท่านั้น แต่อาจบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

สาเหตุของการปวดหลังที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย

การปวดหลังมีสาเหตุจากหลาย ๆ ปัจจัย โดยเฉพาะโครงสร้างของกระดูกสันหลังที่มีตั้งแต่โครงสร้างของผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกสันหลัง และเส้นประสาท เพราะฉะนั้นอาการปวดจึงสามารถเกิดขึ้นได้จากพยาธิสภาพที่กล่าวไปข้างต้น และระบบที่พบอาการปวดได้บ่อยที่สุดก็คือกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น รองลงมาก็คือระบบกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกสันหลังเส้นประสาท ส่วนระบบที่พบได้ค่อนข้างน้อยก็คือ ไต ช่องท้อง

ในปัจจุบันมี การพูดถึงเรื่องของกระดูกสันหลังเส้นประสาทค่อนข้างมาก เนื่องจากเมื่อเป็นแล้วจะมีความรุนแรงและอันตรายมากกว่าระบบอื่น ๆ เพราะฉะนั้นแพทย์จึงให้ความสำคัญกับกระดูกสันหลังเส้นประสาทมากกว่า เช่น โรคกระดูกหลังทับเส้นประสาทก็เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาโรคปวดหลังที่เกิดขึ้นกับภาวะกระดูกสันหลัง

ปัญหาของกระดูกสันหลัง ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

สำหรับปัญหาของกระดูกสันหลังที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลัง สามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุจนทำให้กระดูกสัน หลังหัก กระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังเสื่อม และกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ หมอนรองกระดูกที่มีปัญหาได้ เช่น หมอนรองกระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกอักเสบ หมอนรองกระดูกติดเชื้อ

ทั้งนี้ในส่วนของเส้นประสาทก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลัง โดยอาจจะถูกกดทับจากภาวะกระดูกเสื่อม มีก้อนถุงน้ำหรือ ก้อนเนื้อ แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยจนทำให้เกิดอาการปวดหลังก็คือ ปัญหาเรื่องของหมอนรองกระดูก โดยเฉพาะปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อน ซึ่งมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยปวดเป็นครั้งคราวไปจนถึงปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเคลื่อนและไปทับเส้นประสาท แต่ในกรณีที่หมอนรองกระดูกแตกจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง ขาชา ขาอ่อนแรง หากมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดทันที

นอกจากหมอนรองกระดูกสันหลังแล้ว โรคกระดูกสันหลังเสื่อม ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน แต่ที่พบได้บ่อยคืออาการของกระดูกสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาทจนทำให้กระดูกทรุดลงมา คำว่า เสื่อมหมายความว่ากระดูกและข้อต่อต่าง ๆ ได้มีการเสื่อมสภาพลง ความยืดหยุ่นน้อยลงทำให้ กระดูกสันหลังหลวมมากขึ้น จึงเริ่มมีการทรุดตัว ลงทำให้มีอาการปวด มีอาการชา โดยส่วนมาก จะพบได้ในผู้สูงอายุ ส่วนในกลุ่มที่อาการหมอนรองกระดูกแตก กระดูกสันหลังเคลื่อนจะพบได้ในคนที่อายุน้อยกว่า

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

  • พฤติกรรมที่เกิดจากการใช้งาน เช่น การยกของ ก้ม ๆ เงย ๆ ลักษณะอาชีพที่ต้องก้มตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมได้เร็ว
  • พฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย
  • พฤติกรรมการรับประทานอาหารจนน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมไวได้เช่นกัน
  • พฤติกรรมการเล่นกีฬาที่รุนแรงจนทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลัง

ลักษณะของอาการปวด

อาการปวดจะปวดได้ตั้งแต่บริเวณรอบ ๆ หลัง จนปวดร้าวลงมาที่ขา ร่วมกับอาการชาและอาการอ่อนแรง ในกรณีที่มีอาการรุนแรงจะทำให้มีภาวะปัสสาวะไม่ออกและทำให้เกิดอัมพาตครึ่งตัวได้ สำหรับอาการปวดหลังอย่างรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกแตกจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงและร้าวลงขาอย่างรุนแรง ลุกนั่งไม่ ไหวต้องนอนเพียงอย่างเดียว ถ้ามีอาการปวดหลังมากก็จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน ทั้งการลุก การยืน ขับรถและการนั่งทำงาน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณการปวดถ้ายิ่งปวดมากและปวดขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถนั่งนาน ๆ ได้ ยืนนานไม่ ได้ และหากมีปวดรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิต ประจำวันก็ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา

การบรรเทาอาการปวดหลังในกรณีผู้สูงอายุด้วยตัวเองสามารถทำได้โดยที่มีอาการปวดหลัง ไม่รุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกอักเสบนิดหน่อย หรือผู้สูงอายุที่มีกระดูกสันหลังเสื่อมเล็กน้อย ก็สามารถบรรเทาอาการปวดด้วยการออกกำลังกาย ถ้าในกรณีที่มีอาการปวดหลังแต่ปวดไม่เยอะ ผู้ป่วยอาจจะใช้น้ำอุ่นประคบ ใช้ยานวด และนอนพัก หากมีอาการปวดเรื้อรัง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงและเพื่อไม่ให้กระดูกสันหลังโยกมากหรือทำให้เกิดการปวด ทั้งนี้ หากมีอาการปวดรุนแรง การรับประทานยาแก้ปวดจะสามารถช่วยได้แค่ในช่วงแรกเท่านั้น ทางที่ดีควรรีบมาพบแพทย์เพื่อจะให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง

ขั้นตอนการวินิจฉัยอาการปวดหลัง

ขั้นตอนโดยส่วนใหญ่แพทย์จะทำการซัก ประวัติผู้ป่วย หลังจากนั้นแพทย์จะทำการตรวจ ร่างกายเพื่อดูกำลังขาและดูตำแหน่งที่มีอาการ ปวด ตำแหน่งเส้นประสาทที่ก่อให้เกิดอาการปวด หลังจากนั้นแพทย์จะทำการถ่ายเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อดูหมอนรองกระดูกและเส้นประสาทว่ามีความ ผิดปกติตรงไหน นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจ การทำงานของเส้นประสาทแขนและขา เพื่อที่จะ ดูการทำงานของเส้นประสาทว่าสามารถทำงานได้ ดีไหมเพื่อไปเทียบกับภาพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ จึงจะได้คำวินิจฉัยออกมาว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร หรือเป็นภาวะใด

เทคโนโลยีรักษาอาการปวดหลัง
ด้วย “การผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็กน้อยกว่า 1 ซม.” ?

ในปัจจุบัน หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและมีโอกาสเกิดขึ้นกับทุกคนและทุกกลุ่มอายุ แต่กลุ่มที่พบได้บ่อยจะมีด้วยกัน ทั้งหมด 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 25-35 ปี และกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งลักษณะ ของพยาธิสภาพจะไม่เหมือนกัน โดยที่กลุ่มอายุน้อยมักจะเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตามการที่มีแรงกดทับผ่านกระดูกสันหลัง ไปกระแทกถึงหมอนรองกระดูกอย่างรุนแรง ก็จะทำให้หมอนรองกระดูกด้านนอกเกิดการฉีกขาด และทำให้ ส่วนที่อยู่ตรงกลางปลิ้นออกทางด้านหลังของกระดูกสันหลัง ซึ่งมีเส้นประสาทอยู่ ทำให้เกิดการกดทับที่เรียกว่า “หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปทับเส้นประสาท” กรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่อายุไม่มากและพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่ยกของหนัก

ส่วนในกรณีผู้สูงอายุนั้น ภาวะเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกเป็นผลจากความเสื่อมของร่างกาย เกิดจากเยื่อหุ้มหมอนรองกระดูกมีการเสื่อมสภาพ จนส่งผลให้หมอนรองกระดูกด้านในค่อย ๆ เคลื่อนออกมาในแบบที่ไม่รวดเร็วนัก ซึ่งอาการก็จะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป โดยที่ลักษณะอาการ คือปวดหลัง ร้าวลงไปบริเวณขาข้างที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ โดยอาการปวดร้าวลงมาที่ขาจะมีอาการปวดร้าวมากในขณะยืนหรือเดิน แต่จะสบายขึ้นเวลานอน หากมีอาการปวดมากขึ้นและไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง ก็จะเริ่มมีอาการชาและมีอาการอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะอาการอ่อนแรงของเท้าที่ขา

ปัจจุบัน ในวงการแพทย์ก้าวไปไกลมากและมีเทคโนโลยีการรักษารูปแบบใหม่ออกมามากมาย ถ้าเปรียบการรักษาในอดีตกับการรักษาปัจจุบัน การรักษาในอดีตจะเน้นไปที่เรื่องของการกายภาพบำบัดเป็นส่วนใหญ่ร่วมกับการกินยา แต่ถ้ามีอาการค่อนข้างรุนแรงก็อาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดด้วย การเปิดแผลขนาดใหญ่ที่บริเวณกลางหลังและ แหวกกล้ามเนื้อและกระดูกลงไป จากนั้นถึงจะทำการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกที่หลังที่เคลื่อนออก ทำให้มีแผลค่อนข้างใหญ่

แต่ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีการรักษารูปแบบใหม่ด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง โดยใช้กล้องขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร เพื่อที่จะสอดเข้าไปเอาหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมาโดยที่ไม่ต้องตัดกล้ามเนื้อและกระดูก แพทย์จะสามารถส่องไปที่ตำแหน่งที่มีหมอนรองกระดูกเคลื่อนและสามารถเอาออกได้ทันที แผลบาดเจ็บจากการผ่าตัดมีขนาดเล็ก ทั้งนี้ ยังสามารถทำร่วมกับการใส่น๊อตผ่านทางผิวหนังได้ด้วยโดยที่ไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่

ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้อง

  • แผลเล็ก ลดการบาดเจ็บของผิวหนังและกล้ามเนื้อ
  • เสียเลือดน้อย
  • ไม่ต้องตัดกระดูก
  • ใช้เวลาผ่าตัดน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว
  • และในบางกรณี สามารถฉีดยาชาแทนการดมยาสลบ

นอกจากนี้ หลังจากผ่าตัดสามารถทำการกายภาพบำบัดได้ทันที เพราะว่ากล้ามเนื้อไม่บาดเจ็บ ไม่จำเป็นต้องรอพักฟื้น

ทั้งนี้ การผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้องโอกาสหายขาดมีมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการผ่าตัดใหญ่ แต่หากเปรียบกับการทำกายภาพและการกินยา อาการจะดีขึ้นประมาณ 50/50 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าการผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้องได้ผลเทียบเท่าการผ่าตัดใหญ่ แต่การผ่าตัดผ่านกล้องเสียเลือดน้อยกว่า ประหยัดเวลา เกิดผลแทรกซ้อนน้อยกว่า แต่อาจจะมีผลข้างเคียวจากการผ่าตัดอยู่บ้างในคนที่มีหมอนรองกระดูกใหญ่มาก ๆ อาจจะมีอาการชาที่ขาได้บ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดจะพบได้น้อย ข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องคือ ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่เคยได้รับการผ่าตัดมาแล้ว เช่น การผ่าตัดโดยใส่เส้นลวดหรือ การปลูกกระดูกด้านข้าง เพราะจะไม่สามารถส่องกล้องเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรค

เมื่อมีอาการแบบไหนควรมาพบแพทย์?

หากมีอาการปวดหลังเรื้อรังหรือมีอาการ ปวดผิดปกติ โดยเฉพาะมีอาการปวดร้าวลงขา ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อจะได้ประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่า

แนวทางการดูแลตัวเอง

ทั้งนี้สำหรับแนวทางป้องกัน ควรออกกำลังเป็นประจำโดยการออกกำลังกายช่วงหลังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ดีและช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บที่หลังได้ดี นอกจากนั้น การควบคุมน้ำหนักอย่าให้อ้วนจนเกินไป เพราะกระดูกสันหลังจะต้องทำงานหนัก นอกจากนี้การปรับพฤติกรรมการนั่ง การนอน การยืน และการทำงานที่ไม่ทำให้กระดูกสันหลังต้องบาดเจ็บ


นพ.พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส

นพ.พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
ศูนย์โรคกระดูกสันหลัง
ชั้น1 โรงพยาบาลสุขุมวิท
โทร. 02-391-0011 ต่อ 110, 111



ติดตามรับข้อมูลข่าวสารอัพเดทจากทางโรงพยาบาล:

VAR_INCL_CK