การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: EKG, ECG) เป็นการทดสอบที่บันทึกกระแสไฟฟ้าของหัวใจผ่านแผ่นอิเล็กโทรดขนาดเล็กที่ติดไว้ที่ผิวหนังหน้าอก แขน และขาของผู้ป่วย ขณะที่ไฟฟ้าผ่านกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจจะเกิดการหดตัว และคลายตัว เมื่อนำสัญญาณไฟฟ้ามาวางที่หน้าอกจะสามารถบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่ออกจากหัวใจได้ ซึ่งให้การตรวจที่รวดเร็ว ปลอดภัยและไม่เจ็บปวด
มีประโยชน์อย่างไร ?
ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
หลีกเลี่ยงครีมและโลชั่น แป้ง ออลย์ทาตัวที่ไม่ทำให้ผิวมัน ในวันทำการทดสอบเพื่อป้องกันไม่ให้อิเล็กโทรดสัมผัสกับผิวหนัง
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีการติดอิเล็กโทรด 10 ชิ้นพร้อมแผ่นกาวที่ผิวหนังหน้าอก แขนและขา คอมพิวเตอร์สร้างภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนกระดาษกราฟ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการติดอิเล็กโทรดและทำการทดสอบ
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตรวจหาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือใช้ประเมินประสิทธิภาพความสามารถสูงสุดของร่างกายและหัวใจในการออกกำลังกาย หรือตรวจหาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะที่เกิดขณะออกกำลังกาย โดยผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใดๆในภาวะปกติ แต่เมื่อออกกำลังกายหัวใจจะทำงานหนักขึ้นจะมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดมีอาการแสดงและการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ดังนั้นการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย จะทำให้แพทย์ทราบถึงอาการหรือปัญหาสุขภาพจากการตรวจสมรรถภาพหัวใจครั้งนี้ได้ โดยจะสามารถวางแนวทางในการรักษาในลำดับต่อไป ทั้งอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทานยา หรืออาจได้รับการฉีดสีสวนหัวใจ เพื่อการรักษาในลำดับต่อไป ซึ่งการตรวจสมรรถภาพหัวใจนี้นอกจากจะแม่นยำ ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการเสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย
ประโยชน์ของการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย เหมาะกับใคร ?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาทิ
นอกจากนี้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 - 40 ปีขึ้นไป ควรหมั่นตรวจเช็คสุขภาพหัวใจ อาทิ การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ปีละ 1 ครั้ง ควบคู่กับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อช่วยป้องกันภาวะที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน ป้องกันการเสียชีวิตเฉียบพลัน
ด้วยหลักการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งจะส่งผ่านผนังทรวงอกไปถึงหัวใจโดยหัวตรวจชนิดพิเศษ เมื่อคลื่นเสียงความถี่สูง ผ่านอวัยวะต่างๆจะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับ ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างน้ำ และเนื้อเยื่อ คอมพิวเตอร์จะนำเอาสัญญาณเหล่านี้มาสร้างภาพ ดังนั้น ภาพที่เห็นก็คือหัวใจของผู้ป่วย
การตรวจวิธีนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ภาวะน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ภาวะหัวใจโต ตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด โดยสามารถวินิจฉัยโรค ตรวจหาความรุนแรง ติดตามผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะไม่เห็นหลอดเลือดหัวใจโดยตรง และ อาจได้ภาพไม่ชัดเจนในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนหรือผอมมาก หรือ มีถุงลมโป่งพอง เนื่องจากไขมันและอากาศขัดขวางการสะท้อนของคลื่นเสียงความถี่สูง
ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
การตรวจหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูง (Echocardiogram) เหมาะกับใคร ?
คือการตรวจวัดระดับแคลเซียม หรือหินปูนที่ผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ที่อาจเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดงและจะเกิดการสะสมก่อนอาการของโรคหัวใจนานหลายปี ปริมาณแคลเซียมนี้สามารถทำนายโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ และช่วยป้องกันการเกิดภาวะการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) เพื่อหาทางป้องกันรักษาการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ทั้งการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิต การรับประทานยา หรือแม้แต่การเข้ารับการรักษาฉีดสีและขยายหลอดเลือดหัวใจได้ทันการ ซึ่งการตรวจวัดระดับแคลเซียมผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Calcium Score) ยังถือเป็นวิธีการที่สะดวก แม่นยำ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ที่สุด ในการตรวจหาภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันก่อนเกิดโรค และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)
การตรวจ CT Calcium Score เหมาะกับใคร ?
ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
การเข้ารับการตรวจวัดระดับแคลเซียมผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Calcium Score) ผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดมากมาย แค่หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน กาแฟ ชา ต่างๆ สูบบุหรี่ และการออกกำลังกายก่อนเข้ารับการตรวจ 4 ชั่วโมง
พญ. ฑิตถา อริยปรีชากุล
แพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจและหลอดเลือด