“เวียนศีรษะ เจ็บจี๊ดขึ้นสมอง เหมือนมีอะไรมาทิ่ม แขนขาอ่อนแรง” อาการบ่งชี้ของ Stroke ที่ผู้ป่วยไม่ทราบ คิดว่าตนเองเพียงมีอาการดังกล่าวจากการเวียนศีรษะธรรมดา แต่ยังพอมีสติจึงค่อย ๆ นั่งลงเพราะเกรงว่าตนเองจะล้มแล้วศีรษะฟาดพื้น แล้วจึงค่อย ๆ ไปหยิบยาแก้เวียนศีรษะที่เคยทานประจำมาทาน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น โชคดีที่ตนเองโทรสั่งอาหารไว้แล้วเด็กส่งมาอาหารมาถึงพอดี จึงได้คลานไปเปิดประตูแล้วขอความช่วยเหลือ เด็กส่งอาหารจึงได้รีบแจ้งกับทางนิติบุคคลของหมู่บ้าน เนื่องจากเห็นว่าผู้ป่วยอยู่บ้านคนเดียวในเวลานั้น นิติบุคคลจึงรีบโทรแจ้งให้ภรรยาของผู้ป่วยทราบ เมื่อภรรยาของผู้ป่วยมาถึง จึงรีบดำเนินการพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที เพราะผู้ป่วยเริ่มหมดสติแล้ว
ด้วยความมีสติของตัวผู้ป่วยและความรวดเร็วของผู้ให้ความช่วยเหลือ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนับตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการจนถึงการได้รับการรักษา สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ทันท่วงที ซึ่ง “Stroke หรือโรคหลอดเลือดในสมองตีบ เป็นภาวะอันตรายที่ต้องรีบให้การรักษาแข่งกับเวลา” เพราะสมองของคนเราขาดเลือดได้ไม่เกิน 270 นาที หรือที่เรามักได้ยินกันว่า “Stroke Fast Track 270 นาทีแห่งชีวิต”
เมื่อคนไข้ถูกนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาล คนไข้มีอาการหมดสติแล้ว ไม่รู้สึกตัว แขนขาอ่อนแรง แพทย์จึงรีบทำการตรวจวินิจฉัยด้วยการทำ MRI ก็พบว่ามีลิ่มเลือดอุดตันในสมองซีกขวา จึงจำเป็นจะต้องรีบดำเนินการนำลิ่มเลือดออกมาในทันที ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทางโรงพยาบาลสุขุมวิทได้นำมาใช้ สามารถทำการดูดลิ่มเลือดที่อุดตันในสมองออกมาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งความพร้อมของทีมแพทย์ จึงสามารถดำเนินการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ
หลังจากแพทย์ให้การรักษาโรคหลอดเลือดในสมองอุดตันแล้ว แพทย์จำเป็นจะต้องหาสาเหตุของการเกิดโรคดังกล่าว เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำอีก ซึ่งโรคหลอดเลือดในสมองอุดตันสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยที่เป็น Stroke ประมาณร้อยละ5 เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยรายนี้ เมื่อแพทย์สอบถามข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมก็พบว่า ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และทำการรักษาด้วยการทานยามากว่า 10 ปี ซึ่งการทานยานี้ ไม่สามารถรักษาอาการของโรคให้หายได้ ทำได้เพียงบรรเทาอาการของโรคเท่านั้น ผู้ป่วยเองทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคพอสมควร เนื่องจากคุณพ่อของผู้ป่วยก็เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และรักษาด้วยการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ Atrial Fibrillation คือภาวะที่หัวใจห้องบนทำงานไม่ปกติ เป็นสาเหตุให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ เมื่อลิ่มเลือดเหล่านั้นไปอุดตันในเส้นเลือดที่สมองจึงทำให้เกิดภาวะ Stroke หรือ หลอดเลือดในสมองอุดตันนั่นเอง
เมื่อแพทย์ทราบแล้วว่า ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด Stroke แพทย์จึงทำการตรวจวินิจฉัยอาการของโรคเพิ่มเติม เพื่อจะได้ให้การรักษาที่ตรงจุดและป้องกันไม่ให้เกิด Stroke ซ้ำ แพทย์จึงได้ทำการติดเครื่องมือที่ชื่อว่า เครื่องโฮลเตอร์มอนิเตอร์ (Holter Monitor) เพื่อใช้ตรวจดูความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งในผู้ป่วยรายนี้ ต้องทำการติดเครื่องเพื่อติดตามอาการถึง 3 ครั้ง เนื่องจากว่า
หลังจากการตรวจหาความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วย Holter Monitor ถึง 3 ครั้ง นพ.อภิชัย โภคาวัฒนา แพทย์ผู้ชำนาญการอายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉพาะทางหัวใจเต้นผิดจังหวะ จึงแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยมากที่สุด โดยวางการรักษาออกเป็น 2 แบบคือ
โดยปัจจุบัน หลังจากได้รับการรักษาด้วยการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงมีอาการชาครึ่งซีกซึ่งมีผลมาจากภาวะหลอดเลือดในสมองอุดตัน โดยแพทย์ได้ใช้วิธีการทำกายภาพเข้ามาช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย ผู้ป่วยจึงค่อย ๆ มีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ยังคงทำการกายภาพอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ ร่วมกับการควบคุมอาหาร
นพ.นิวธ กาลรา แพทย์ผู้ชำนาญการอายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด ยังได้ให้คำแนะนำว่า “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจไม่สามารถตรวจพบหรือวินิจฉัยได้ในเพียงครั้งเดียว หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรค ควรรีบไปพบแพทย์ อย่าปล่อยปะละเลยสัญญาณเตือนของร่างกาย เพราะหากวินิจฉัยได้ไว การรักษาก็จะยิ่งได้ผลได้ดี”
นพ.อภิชัย โภคาวัฒนา
แพทย์ผู้ชำนาญการอายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉพาะทางหัวใจเต้นผิดจังหวะ